เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ส.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลานักรบ ทหารออกรบกลับมา เวลาชนะข้าศึกกลับมาได้เหรียญตรา ได้เหรียญตราได้ความดีความชอบ แต่เวลาเราจะรบกับกิเลสของเราๆ ไม่มีอาวุธ เราต้องหาอาวุธของเราก่อน เขาชนะข้าศึกมาเขาได้ความดีความชอบ แต่ข้าศึกของพวกนักรบในธรรมะ นักรบข้าศึกของเรามันเป็นสิ่งที่ว่าเป็นเรา สิ่งที่เราเลยเป็นธรรมดา เป็นสิ่งปกติเป็นสิ่งธรรมดา เป็นเรื่องของความเป็นเรา มันถึงไม่เห็นข้าศึกไง ความที่เราไม่เห็นข้าศึกเราถึงไม่สามารถที่เราจะรบกับข้าศึกได้

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบอกว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมาก คือมันไม่มีขอบเขต เราจะคิดขนาดไหนนะ ขอบเขตมันไปได้ทั่ว ความคิดเราไปได้ทั่ว ไปได้ทั่วแล้วก็ว่าเราคิด เราเป็นคนคิด เราเป็นคนวินิจฉัย เราเป็นคนใช้ปัญญา สิ่งที่เราใช้ปัญญามันกลบตัวมันเอง แล้วมองไม่เห็นตัวมันเอง ข้าศึกอย่างนี้มองไม่เห็นเลย เวลานักรบออกรบกับข้าศึกเขาต้องมีอาวุธของเขา เขาจะไปรบกับเขา

แต่ของเราๆ จะเป็นนักรบได้ เพราะเราจะเป็นนักรบ เราจะรบกับตัวเราเอง รบกับกิเลสตัวเราเอง เราต้องหาอาวุธของเราเองทั้งหมดเลย อาวุธที่จะเข้าไปจับไปเห็นสิ่งที่ว่าเป็นตัวเรา เป็นสิ่งที่ปกติ เป็นสิ่งที่ธรรมดา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์นะ สำหรับโลกเขานี่ทุนนิยม การแข่งขันโลกนี้จะเจริญ สิ่งที่มีการแข่งขัน สิ่งที่การใช้ปัญญาโลกนี้เจริญ มันเป็นประโยชน์กับโลกเขา ปัญญาที่เป็นประโยชน์กับโลกเขา แล้วพออยู่กันในโลกแล้วเขาก็ต้องคิดว่าคนที่ฉลาดกับคนดีต่างกัน คนที่ฉลาดแต่คนที่ฉลาดนั้นเป็นคนโกง มันจะโกงมหาศาลเลย แข่งขันกันด้วยวิชาการ แข่งขันกันด้วยความดี แต่คนที่ฉลาดนั้นถ้าเป็นคนโกงมันก็เป็นสิ่งที่โกง

ธรรมะเป็นคนที่พลิกแพลงออกมาว่า เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่ว แต่ความฉลาดนั้นมันเป็นกิเลสพาใช้หรือธรรมะพาใช้ ความฉลาดนั้นเป็นผล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ขันธ์คือความคิด ความปรุง ความแต่ง สิ่งที่ว่าเป็นขันธ์ พวกเราเป็นขันธมาร สิ่งนี้มีกิเลสควบคุมอยู่แล้วมันเป็นมารควบคุมเรา

เรานี่โดนควบคุม เราโดนสิ่งปกติ สิ่งที่เป็นธรรมดาสามัญนี่ สิ่งที่ว่าไม่เป็นโทษเลย โลกมองเห็นว่าเป็นโทษควบคุมสิ่งนี้อยู่ แล้วเราก็ใช้สิ่งนี้ออกไป มันถึงเป็นความเร่าร้อนของใจ ไม่มีความร่มเย็นของใจ ทุกดวงใจเร่าร้อน ทุกดวงใจมีความทุกข์ ถ้าให้คุยกัน เห็นไหม นี่ความรักของพ่อแม่รักลูกมาก ไม่ต้องการให้ลูกมีความทุกข์เหมือนเรา พยายามให้วิชาการ พยายามจะให้ที่ยืนในสังคม พยายามสั่งสอนขนาดไหนก็แล้วแต่มันก็มีความทุกข์ มันจะมีความสุขไปไม่ได้เลย ถ้าเราไม่สามารถมาชำระข้าศึกของเราเอง

ถ้าเราจะชนะข้าศึกเราเอง มันถึงว่าสิ่งที่เป็นปกติสิ่งที่เป็นธรรมดา เราต้องพยายามค้นคว้าหาเข้ามา อายตนะกระทบตาหน้าที่ของเขาคือเห็นรูป หูเป็นหน้าที่ของการฟังเสียง หน้าที่ของเขาเป็นส่วนละอย่างออกไปใช้งานธรรมดาของเขา แต่ในการจะหาอาวุธของเรานี่เราก็ต้องใช้อายตนะควบคุมมัน

ในครั้งพุทธกาลมีพระโปฐิละเป็นผู้ที่มีปัญญามาก แต่ไปไหนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า คัมภีร์เปล่าๆ ไปหาใครสอนก็สอนไม่ได้ เพราะว่าคนมีปัญญามาก ถึงที่สุดแล้วพระพุทธเจ้าทรมานให้ไปหาอาจารย์ไง สุดท้ายแล้วพระอรหันต์ทั้งวัด จากหัวหน้าเป็นพระอรหันต์บอกว่า เป็นผู้มีปัญญาน้อยสอนไม่ได้ ก็เลื่อนๆ ไปจนถึงเณรน้อย เณรน้อยก็เป็นพระอรหันต์ เณรน้อยบอกว่าจะฟังไหม? ถ้าฟังทรมานก่อน ให้ลงไปทำตามคำสั่ง ลงน้ำลงท่าลงหมด ยอมแล้วไง พอยอมแล้วถึงบอกว่าให้ปิดอายตนะ ให้เปรียบเหมือนตัวเรานี้เหมือนจอมปลวก แล้วมีทวารมีรูอยู่ ๖ รู เหี้ยอยู่ในรูนั้นมันจะออกมาจากจอมปลวกนั้น พยายามจับเหี้ยให้ได้

เราพยายามปิดอายตนะของเรา ตาที่เห็นรูป หูที่ได้ฟังเสียง มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องความสืบต่อ เป็นเรื่องของสมมุติ เป็นเรื่องของโลกที่ใช้งานกัน นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดาๆ นี้แหละ แต่ถ้าเราพยายามใคร่ครวญมันพยายามปิดมัน เราจะเริ่มหาอาวุธได้ หาสิ่งที่เป็นอาวุธเข้าไปจับไปเห็นสิ่งที่เป็นความเป็นธรรมดา ถ้าจิตมันเริ่มสงบตัว เราใช้สิ่งที่มันกระทบ มันมีความคิดมีความยึดมั่นถือมั่นไป เราก็เลาะกลับมา สิ่งนี้เป็นอดีตไปแล้ว มันใช้ประโยชน์ได้ชั่วคราว มันเป็นปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย มันเป็นความจริง จริงชั่วคราว จริงตามสมมุติ

เมื่อวานนี้ก็เป็นเรื่องของเมื่อวานนี้ไปแล้ว ถ้าเมื่อวานนี้เรามีความผิดพลาด เราทำอะไรไป มันก็มาคิดกังวลในวันนี้ ถ้าเมื่อวานนี้เรามีความพอใจเรามีความสุขใจกับสิ่งใด เราก็ แม้! เมื่อวานนี้มันผ่านไปเร็วเหลือเกิน สิ่งนี้มันเป็นอดีต มันเป็นความคิด มันเป็นความจริง แต่มันจริงชั่วคราว จริงชั่วคราวแล้วเราก็ยึด ยึดสิ่งที่ว่ามันไม่เป็นที่พึ่งได้ไง สิ่งที่ไม่เป็นที่พึ่งได้ สิ่งที่เป็นของอาศัยกันมันเป็นอาศัยกัน สิ่งที่เป็นปกติ สิ่งที่เป็นธรรมดา

เราใคร่ครวญเข้ามา เราให้มันปล่อยวางเข้ามา จอมปลวกมันปล่อยวางสิ่งนั้นนะ จอมปลวก ทวารทั้ง ๖ มันมีทางออกอย่างนั้น เราควบคุมไว้แล้วเราพยายามจับได้ จับไอ้คนที่ไปรับรู้สิ่งนั้นนะ จับสิ่งที่เป็นปกติสิ่งที่เป็นธรรมดารับรู้ เวลาหูเราได้ยินเสียง เราไม่รับรู้ เราทำงานไปหูได้ยินสักแต่ได้ยิน มันไม่รับรู้ นี่เหี้ยตัวนั้นมันไม่ออกรับรู้สิ่งต่างๆ มันก็ไม่รับรู้สิ่งใด

เราพยายามทำความสงบเข้ามา ควบคุมอายตนะทั้งหมดสิ่งที่กระทบเข้ามานั้นเราจะหาอาวุธหาสิ่งที่ว่ามันความสงบเข้าไป สิ่งที่ความสงบเข้ามา จิตนี้สงบเข้ามาจะมีความสุขเพราะมันจะปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามา ปล่อยวางสิ่งต่างๆ เข้ามาแล้วมันพยายามตั้งมั่นขึ้นมาได้ สิ่งนี้มันก็มีอยู่โดยธรรมชาติ มีอยู่ปกติ เพราะอะไร? เพราะจิตฟุ้งซ่านมันก็สงบได้โดยธรรมชาติของมัน มันจะปล่อยวางธรรมชาติของมัน ปล่อยวางโดยที่ไม่มีใครควบคุม ไม่มีสติไง เพราะเวลาเราทุกข์แสนทุกข์ มันเป็นอนัตตาตลอดไป

สิ่งใดเป็นอนิจจัง สรรพสิ่งที่แปรสภาพนี้เป็นอนิจจังทั้งหมดเลย ความพลัดพรากนี้ก็เป็นอนิจจัง สิ่งที่พลัดพรากไปมันก็เป็นความทุกข์ ความทุกข์ เห็นไหม สิ่งที่เป็นทุกข์เป็นอนัตตา มันไม่คงที่ของมันหรอก มันเป็นอนัตตาธรรมชาติของมัน จิตนี้มันก็เป็นอนิจจัง มันทุกข์มากมันก็ปล่อย พอมันปล่อยมันเป็นธรรมชาติที่มีอยู่ แล้วเราเห็นว่าเป็นปกติเป็นธรรมดา เราเลยไม่สนใจมันไง

แต่เรามาตั้งสติ ตั้งสติพยายามกำหนดรู้ขึ้นมา แล้วพยายามใคร่ครวญเข้ามาเห็นความปกติของมันแล้วตั้งสติไว้ สิ่งนี้สืบต่อ สิ่งที่มันปล่อยวาง พอปล่อยวางเป็นสมาธิ เป็นสมาธิมันปล่อยวาง แล้วเราสืบต่ออันนี้ขึ้นมาให้ได้ มันมีอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีสติ เราไม่มีสมาธิเราจะเป็นปุถุชนเป็นคนธรรมดานี้ไม่ได้หรอก เราต้องเป็นคนเสียจริต คนที่เป็นคนเสียจริตเขาก็มีจิตเหมือนเรา เขาก็มีความรู้สึกเหมือนเรา ทำไมเขาไม่สามารถควบคุมเขาได้ เพราะสติเขาเสียไป สิ่งที่เขาเสียไปเขาปล่อยไป แต่เรามีสติอยู่ แต่สติปุถุชนมันก็เป็นเรื่องของโลก

ความแข่งขันกันทางวิชาการ การแข่งขันกันทางโลกก็มีเท่านี้ แข่งขันกันมันเป็นโลกียะไง มันไม่ชำระกิเลสได้ จะว่ามันเป็นปัญญา ปัญญาอย่างนี้มันกว้านสิ่งที่กว้านความทุกข์มาให้ตัวเอง กว้านความทุกข์มาให้ตัวเองตลอดไป มันเป็นประโยชน์ มันสิ่งที่ได้มา สิ่งที่ได้มามันเป็นความสิ่งที่เป็นอาศัย มันมีวาสนามันก็ได้มาตามธรรมชาติของมัน ถ้ามันไม่ได้มาสิ่งนั้นมันก็ไม่เป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นเพราะอำนาจของกรรม กรรมไม่ได้มันก็คือความไม่ได้อันนั้น สิ่งที่มันไม่ได้มันก็เป็นความสุดวิสัย แต่ตัณหาความทะยานอยากทำไมเขาได้

ดูสิ คนศึกษามาจบจากการศึกษามา บางคนก็ประสบความสำเร็จ บางคนก็ไม่ประสบความสำเร็จ มันทำไมไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอะไร? เพราะกรรมอันที่สร้างมานะ อันนี้มันเป็นสิ่งปกติสิ่งธรรมดาที่เราไม่เห็น ถ้าจิตมันสงบเข้ามายกขึ้นตรงนี้ สิ่งที่เป็นปกติเป็นธรรมดาจิตตั้งมั่นไหม

เจ้าชายสิทธัตถะไปเรียนกับอาฬารดาบสก็เหมือนกัน ได้สมาบัติเหมือนกัน แล้ว สมัยพุทธกาล เขาได้สมาบัติเขาได้ความสงบกันแล้ว แต่เขาไม่มีปัญญาไง สิ่งที่เป็นปัญญา เห็นความปกติเห็นเป็นธรรมดานี่แต่เราใคร่ครวญความปกติความธรรมดาขึ้นมา จนเห็นสิ่งหนึ่ง สิ่งที่ความยึดมั่นถือมั่นไง อุปาทาน สิ่งที่อุปาทานยึด พอยึดเข้าไป ใครยึดสิ่งใดรักสิ่งใดสงวนสิ่งใด สิ่งนั้นจะให้ความทุกข์ไปตลอด จะไม่มีความสุขหรอก เพราะอะไร? เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ที่สุดแล้วเราต้องตายจากเขาหรือเขาต้องตายจากเราไปโดยธรรมชาติของมัน ไม่มีสิ่งใดคงที่ยืนยาวตลอดไป

มันเป็นการให้โอกาส เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีมนุษย์สมบัติเราถึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ขึ้นมานี่มนุษย์สมบัติขึ้นมานี่ถ้ามี เราโดนสิ่งที่เป็นปกติธรรมดาไป เราเป็นธรรมดานี่เราก็ใช้ชีวิตเป็นธรรมดาไป มันก็ใช้ชีวิตธรรมดาไปชาติหนึ่งๆ พอหมดไป สิ่งที่ได้มามนุษย์สมบัติได้มาเพราะกรรมดีนะ แล้วสิ่งที่เราใช้ไปแล้วเราจะไปเกิดเป็นอะไรต่อไปล่ะ ถ้าเราสร้างคุณงามความดีไปเราก็เกิดดีๆ ตลอดไป ถ้าไม่ถึงที่สิ้นสุด แต่ถ้าถึงที่สิ้นสุดปฏิบัติไปนี่ นักรบกับตัวเองต้องรบกับสิ่งที่เราค้นคว้า ปฏิบัติยากๆ ตรงนี้ ยากตรงที่ว่าเราไม่สามารถยกขึ้นวิปัสสนาได้ จิตนี้สงบพอทำกันได้ พอสงบแล้วก็ติดในความสงบนั้น แต่ถ้ายกขึ้นวิปัสสนามันต้องเห็นสติปัฏฐาน ๔

อริยสัจไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ขึ้นมา ใจนี่กลั่นออกมาจากอริยสัจ เข้าใจตามอริยสัจไง ทุกข์นี้เป็นความจริงไม่มีความสุขหรอก ทุกคนปรารถนาความสุข กษัตริย์สมัยโบราณเกิดมาไม่อยากตาย พยายามหาสมุนไพรหายาเพื่อดำรงชีวิตตลอดไป เพราะเขาเกิดมาแล้วเขาได้สถานะนั้นเขาอยากจะมีอย่างนี้ตลอดไป มันหากันสิ่งนั้น ยึดกันสิ่งนั้น มันยึดไม่ได้หรอก มันตายเกิดตายเกิดมาอย่างนั้น สิ่งที่จะเป็นสมบัติจักรพรรดิสมบัติอะไรก็แล้วแต่ ใครจะมีสมบัติขนาดไหนมันก็ต้องตาย

แต่ของเราขึ้นมานี่เราเกิดมา แล้วถ้าเราเข้าใจเรามีความศรัทธาเรามีความเชื่อ เรามีการค้นคว้าไง เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถ้าเชื่อแล้ว เห็นไหม ศรัทธาความเชื่อ มีสุตมยปัญญา นี่ศึกษา ฟังธรรมของครูบาอาจารย์สะสมเข้ามาที่ใจๆ จินตปัญญาการใคร่ครวญของเรา มันจะเกิดความสงบขึ้นมา เพราะอะไร? เพราะมีการทำงาน เราพาจิตออกทำงานไง แต่เดิมกิเลสพาทำงาน กิเลสทำงานก็คิดไปตามประสาโลก ตามประสาของเขา

ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร บ่นกันว่าทุกข์นะ ยสะบ่นมาก “ที่นี่เดือดร้อนหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” จนออกจากปราสาท ๓ หลังเหมือนกัน ขัดข้องหนอวุ่นวายไปหมด โลกนี้วุ่นวายไปหมด เพราะเขามีงานเลี้ยงอยู่นี่ จนทิ้งออกมาจากงานนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ยสะ มานี่ ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย” ที่นี่อยู่ที่ไหน? ที่นี่อยู่ที่ใจ

ถ้าใจมันวุ่นวาย ใจมันขัดข้อง ใจมันติดตัวมันเองก่อน สิ่งที่ตัวมันเองคือความยึดของใจ อะไรกระทบ เห็นไหม เหี้ยในจอมปลวกนั้นมันยึดทั้งหมด สิ่งที่ผ่านตามันยึด มันพอใจมันยึด ไม่พอใจมันผลักไส สิ่งที่ผลักไสทุกข์ สมุทัย สิ่งที่สมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ตัณหากับวิภวตัณหา สิ่งที่ปรารถนาไม่สมความปรารถนา สิ่งที่ได้มาไม่ต้องการ ผลักไส มันเป็นตัณหาทั้งหมดเลย สิ่งที่เป็นตัณหา ถ้าเราควบคุม ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง สิ่งที่ไปยึดเขาเพราะเหตุใด ยึดเขาเพราะไม่มีปัญญาใคร่ครวญในความเข้าใจของมัน สิ่งที่ใคร่ครวญเข้ามาต้องยึดมั่นที่ไหน? ยึดมั่นที่กายกับจิต

วิปัสสนาเข้ามาแยกแยะสิ่งนี้ ถ้าแยกมันต่างอันต่างจริง จริงตามความเป็นของชั่วคราว มันต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างจริงตามธรรม แต่มันยึดมั่นถือมั่น มันไม่จริง ต่างไม่จริงเพราะมันยึดขึ้นมา มันไปสมานตัวมันเองขึ้นมาจนเป็นอุปาทานเป็นความยึดมั่นถือมั่น มันถึงว่าสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในความเห็นผิด ถ้าเห็นว่ามันเป็นความจริงมันไม่ใช่เรามันอาศัยกันอยู่ อาศัยกันอยู่ในสภาวะแบบนั้นมันเกิดดับตามธรรมชาติของมัน เห็นต่างอันต่างจริงมันก็ปล่อยต่างอันต่างจริง ปล่อยความยึดมั่นถือมั่น ถ้าปล่อยความยึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่นนั้นคืออุปาทาน คือตัณหา คือความทะยานอยาก คือการผลักไส คือการยึด

อันนี้ถ้าเราละตัณหา ละด้วยอะไร? ด้วยมรรค มรรคเกิดขึ้นมาจากไหน? เกิดขึ้นมาจากเราเห็นความปกติเห็นธรรมดา แล้วเราพยายามค้นคว้าขึ้นมา จนความปกติความธรรมดานี้ไม่ใช่เป็นธรรมดา เป็นความเห็นโทษของมันในการยึดมั่นถือมั่นของใจ ใจยึดมั่นถือมั่นสิ่งนี้ ถึงแยกแยะสิ่งนี้ออกไป พอมันปล่อยวางมันจะเห็นคุณของมันไง เห็นคุณการปล่อยวาง มันจะปล่อยๆ มาเรื่อยๆ ความปล่อยอันนั้น เห็นไหม เห็นความปล่อย ปล่อยก็เป็นความจริงต่างอันต่างจริง จากเริ่มต้นขึ้นมาจริงไปเรื่อยๆ จริงจนสุดส่วน มันจะจริงตามจริงของมัน มันเข้าใจความจริง

รบกับข้าศึกของตัวเอง มันลึกลับ มันซับซ้อนมาก ฟังจนชินหู พูดจนชินปาก แต่หัวใจมันด้าน มันไม่เห็นสิ่งนี้ มันด้านเพราะมันยึด มันด้านเพราะกิเลส มันด้านเพราะเราแพ้เรา เราไม่สามารถชนะเราได้ นักรบรบกลับมาได้เหรียญตรา เขาก็ต้องตายไป เขาได้ความสุขชั่วคราว แต่ถ้านักรบรบกับตัวเอง ชนะข้าศึกในตัวเองแล้ว จะเป็นผลงานจะเป็นการสิ่งที่ว่าไม่เกิดไม่ตายตลอดไป ใจดวงนี้จะเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก

ในศาสนาเราเป้าหมายอยู่ที่ตรงนี้ เป้าหมายอยู่ที่ตรงการปฏิบัติบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ไว้ตั้งแต่วันปรินิพพานนะ “อานนท์ บอกบริษัท ๔ นะ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ให้ปฏิบัติบูชาเถิด” การปฏิบัติบูชาคือ การรบกับตัวเอง การรบกับตัวเองการเห็นความเป็นปกติเห็นความเป็นธรรมดา เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เพราะสิ่งนี้พาเกิดมา บุญกุศลพาเกิด

การประพฤติปฏิบัตินี้ก็เป็นคุณงามความดี เป็นบุญกุศล การใช้บุญกุศลเชื่อมั่นขึ้นมา สร้างมรรคขึ้นมา สร้างสัมมาสมาธิ สร้างความเห็นชอบขึ้นมา ความดำริชอบเข้าไปพิจารณาใคร่ครวญจนเห็นเป็นความดำริชอบของใจ ยึดมั่นถือมั่นนั้นต้องคายตัวออก เพราะมันเห็นไม่ใช่ความจริง อย่างที่ว่ามันเป็นความจริงชั่วคราวๆ มันไม่จริงจริงๆ มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนั้นจริงๆ แล้วเราทำไมไปยึดมั่นถือมั่น ทำไมเราหลงไปอย่างนั้น นี่อุปาทานมันปล่อยๆ จนมันขาดออกไปสมุจเฉทปหาน นั่นนะชนะตัวเอง ชนะข้าศึกในตัวเอง รบกับตัวเอง นักรบแบบนี้มันถึงว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงวางธรรมไว้ให้เราเดิน ธรรมและวินัยนี้เป็นศาสดาของเรา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆได้ อันนี้มันกล่าวแก้ไง กล่าวแก้กับกิเลสของเราเองไง คนอื่นกล่าวจาบจ้วงในศาสนามันก็เป็นการคนอื่นกล่าวจาบจ้วงศาสนา ความไม่เชื่อความยึดมั่นถือมั่น นั่นนะตัวที่ว่ามันบิดเบือนตามความเป็นจริง ถ้าแก้คืนมานี่ เราแก้กิเลส เห็นไหม กล่าวแก้ๆ แก้กิเลสของตัวเอง ชนะตัวเองขึ้นมาเป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น นี้เป็นการรบกับตัวเอง รบกับข้าศึกรบกับกิเลสของตัวเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกชนะตนนี้ประเสริฐที่สุด ชนะตน ฆ่ากิเลสของในหัวใจนี้ประเสริฐที่สุด แล้วใจดวงนั้นจะเป็นธรรมในหัวใจ ธรรมอันนั้นเป็นสิ่งที่ว่าเป็นผลในศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเกิดอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอันนี้ ถึงว่าสมบูรณ์ขึ้นมาโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม จนเทศน์ธรรมจักร จนพระอัญญาโกณฑัญญะดวงตาเห็นธรรม นี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถึงสมบูรณ์ขึ้นมา

ในศาสนามีแก้วสารพัดนึก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจของสัตว์โลก อยู่ในใจนะถ้าใจประพฤติปฏิบัติถึง อันนี้เป็นหลักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในหลักศาสนาจะมีเป็นครั้งคราว นี่ว่า ๕,๐๐๐ ปีก็จะหมดไป เราเวียนมา ๑๐๐ ปี แล้วเราก็ต้องเวียนไปเรื่อยๆ ถ้าเราพบอีกเราปฏิบัติอีก เราจะเห็นการนี้เข้ามาเป็นจริง แล้วเราจะต้องไม่เวียนอีกเลย นี้คือการชนะโดยสมบูรณ์ เอวัง

ท่